หนังสือชีวิต

ถ้าเปรียบชีวิตของคน เป็นหนังสือเล่มหนึ่ง

หนังสือหนึ่งเล่มมีหลายบท.. มีบทที่เราชอบบ้าง ไม่ชอบบ้างปนๆกันไป

การหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน เราอาจจะเลือกจากปกหนังสือ ชื่อเรื่อง หรือแม้แต่บทนำบางเล่ม

การเดินทางผ่านตัวหนังสือ จากบทหนึ่ง ไปสู่อีกบทหนึ่ง ผ่านเรื่องราวต่างๆที่สร้างตัวละครแต่ละตัว เรื่องราวต่างๆ เพื่อนำไปสูบทสุดท้ายของหนังสือ

บางเรื่องราว เราอาจจะชอบ บางเรื่องราวเราอาจจะไม่ชอบ แต่เราคงไม่ทำถึงขนาดฉีกบทที่เราไม่ชอบทิ้งไป แล้วเหลือไว้เพียงแต่บทที่เราชอบ

ทุกบท ทุกเรื่องราว ทุกตัวละคร ล้วนร่วมกันสรรค์สร้างหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา

สิ่งที่ต่างกันไประหว่างชีวิต และหนังสือ นั่นก็คือ ในชีวิตของเราผู้อ่านไม่สามารถพลิกไปดูจุดจบได้ง่ายเท่ากับหนังสือ

ขอบคุณที่ยินดีที่จะเลือกเปิดอ่านหนังสือเล่มนี้ และยอมรับทุกบทในหนังสือ โดยไม่ฉีกมันทิ้งไป….

เราจะเดินไปสู่บทสุดท้ายด้วยกัน…

จงเรียนรู้จากประวัติศาสตร์

สิ่งที่เรียนรู้จากบทเรียนประวัติศาสตร์

ความขัดแย้งเกิดขึ้นจากผลประโยชน์ ความต้องการ และการต้องการยึดครองเป็นเจ้าของ

ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ อาณาเขต เศรษฐกิน แรงงานคน ศาสนา อำนาจ หรือ ประชากร

ต่างเห็นว่าตนเองดีกว่า ตนเองเหนือกว่า ต้องมีมากกว่า และมีมากขึ้น

น่าแปลกใจทั้งๆที่ความเสียหายมากมายเกิดขึ้น แต่ สิ่งที่เราเรียนรู้จากสงครามระดับโลก และระดับชาติหลายๆครั้งที่ผ่านมามันกลับน้อยเหลือเกิน

จากเหตุการณ์เดิมๆ เหตุผลเดิมๆ ก่อให้เกิดสงครามได้ไม่รู้จบ วนไป เวียนมา เป็นวัฏจักร แพ้ชนะสลับกันไป

เราเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์?

ชนะ ได้สิ่งที่ต้องการ แพ้ คือ ต้องสูญเสีย?

เราเอาบทเรียนทางประวัติศาสตร์มาปรับใช้อะไรได้บ้าง?

เรียนให้แค้น? หรือ เรียนเพื่อให้ได้บทเรียนนั้นมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ว่าเราจะไม่ยอมให้เหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้นกับเราอีก

หรือเรียน เพื่อให้ตัวเองรู้มากกว่าคนอื่น? แล้วก็กลับไปทำสงคราม เข้าสู่วัฏจักรเดิม

เรื่องประวัติศาสตร์ เราแก้ไขไม่ได้ แต่เราได้บทเรียนจากประวัติศาสตร์นั้น มาใช้ในชีวิตประจำวัน

เรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องคน เรื่องชีวิต เรื่องรัก

เรียนรู้จากอดีตที่เคยสูญเสียมากมาย อย่าให้ความสูญเสียนั้นไร้ประโยชน์

ผลประโยชน์…  ถ้าเป็นส่วนของเรา พอ…แค่ในส่วนของเรา

อาณาเขต… ที่นี่ไม่ใช่โลกถาวร… พื้นที่มีไปทำไม

คน… ถ้าเค้าไม่ใช่ของเรา เราจะยื้อไปทำไม ทะเลาะไปเพื่ออะไร ในเมื่อว่ากันตามตรงแล้ว ไม่มีสิทธิ์ที่ใครจะเป็นเจ้าของใครได้เลยจริงๆ

เราจะชนะไปเพื่ออะไร ถ้าอีกฝ่ายจะต้องสูญเสียมากมาย

ถ้าเราแพ้ไปแล้วจะแค้นทำไม ในเมื่อฝ่ายที่ชนะเค้ามีสิ่งที่พร้อมกว่า

จงเรียน(เพื่อ)รู้จากประวัติศาสตร์…

ถ้ามนุษย์เป็นเพียงแค่ “จุด”

ถ้าเปรียบมนุษย์คนหนึ่งเป็นจุดๆหนึ่ง
ส่วนปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์เป็นเส้นที่ใช้เชื่อมต่อจุดแต่ละจุดเข้าด้วยกัน

สำหรับเราแล้ว… จากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่งไม่มีทางเป็นรูปเป็นร่างได้เลย
ทุกความสัมพันธ์จะกำเนิดก่อเป็นรูปเป็นร่างได้ ก็ต้องมีจุดที่ 3
“พระเจ้า” เป็นจุดที่ 3 ของเรา
เพราะมีพระเจ้า ทำให้ทุกความสัมพันธ์สมบูรณ์ และก่อเกิดเป็นรูปเป็นร่าง

รูปเรขาคณิต ไม่มีรูปสองเหลี่ยม ต้องเริ่มจากสามเหลี่ยมขึ้นไป
ความสัมพันธ์สำหรับคริสเตียนก็เช่นเดียวกัน ต้องมี 3 จุด และลากเชื่อมต่อระหว่างกัน สร้างสัมพันธ์ให้เกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

จากสามเหลี่ยมเดียว จะเกิดการสานต่อ และประกอบกันให้เป็นอีกสิ่งหนึ่งเข้ามา

นี่อาจเป็นเหตุผลที่คนเรียกกันว่า รูปสามเหลี่ยมเป็นรูปสมบูรณ์ 🙂

คุณค่าของการรอคอย

ตอนนี้ฉันกำลังหลงรักรูปโพลารอยด์
มานั่งนึกย้อนดู ฉันก็หลงเสน่ห์ของกล้องฟิล์มอยู่บ้างเหมือนกัน
อาจจะเป็นเพราะฉันชอบของเก่าๆก็เป็นได้

แต่เมื่อได้นั่งคิดดีๆแล้ว… สิ่งที่ฉันชอบไม่ใช่ความเก่าของมัน

แต่เสน่ห์ของสิ่งเหล่านี้ที่ทำให้ฉันหลงรัก คือ ความไม่ทันทีของมัน และข้อจำกัดของมันต่างหาก

ฉันมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบ และต้องทำอะไรหลายๆอย่างพร้อมกันตลอดเวลา

เมื่อฉันได้ถ่ายรูปผ่านกล้องฟิล์ม… ฉันไม่ได้เห็นภาพนั้นในทันที 

ฉันต้องค่อยๆถ่ายภาพให้ครบ 36 รูปก่อน จากนั้นจึงค่อยนำไปล้างแล้วฉันจึงเห็นรูป

ด้วยข้อจำกัดที่มีเพียง 36 รูป ทำให้ฉันไม่สามารถกดถ่ายภาพรัวๆได้เหมือนกล้องดิจิตอลสมัยนี้ 
ถ่ายไปก่อนเยอะๆ ใช้ได้เพียงไม่กี่รูป
เน้นปริมาณ ยิงเก็บไว้ก่อน “เผื่อ” ได้ใช้
เป็นความฟุ่มเฟือยเพื่อความทรงจำอย่างบอกไม่ถูก
แต่กล้องฟิล์มทำให้เราพิถีพิถันในการเลือกสิ่งต่างๆที่จะเลือกเก็บเป็นความทรงจำของเรา

เพราะมีจำนวนจำกัดในสิ่งที่เราอยากจะเก็บ ดังนั้นต้องเลือกให้ดี….

ส่วนกล้องโพลารอยด์ แม้จะไวขึ้นในการเห็นภาพ ไม่ต้องถ่ายจนหมดม้วน
แต่ระหว่างที่รอรูปปรากฎขึ้นมา มันก็เป็นความตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก

และข้อจำกัดอย่างเดียวกัน คือ “จำนวน” ที่ต้องบอกว่า น้อยกว่ากล้องฟิล์มเสียอีก…. 

เฉกเช่นเดียวกับการเขียนจดหมาย และโปสการ์ดละมั้ง ที่ฉันยังคงรู้สึกดีกับการได้ส่งโปสการ์ดหาใครสักคน
หรือ ได้รับโปสการ์ดจากใครสักคน

มันไม่ฉาบฉวย และมันต้องใช้เวลาในการส่งความคิดถึงมาหากัน

ไม่รู้สินะ เราอาจจะอยู่ในยุคที่ทุกๆอย่างดูรวดเร็วทันใจไปหมด
จนเราลืมชื่นชมยินดีกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น

เรารักกันง่าย เรา Like กันง่าย เราเลิกกันง่าย
เรามีช่องทางการติดต่อสื่อสารที่ง่าย ทำให้คนเราใกล้กันมากขึ้น
แต่แปลกที่มันทำให้คุณค่าของความสัมพันธ์ดูน้อยลงตามความสะดวกที่ง่ายขึ้น

ในอดีต คนสมัยก่อนกว่าจะได้ติดต่อกันก็ต้องใช้โทรศัพท์บ้าน หรือ โทรตู้
เก่ากว่านั้นก็จดหมาย เก่ากว่านั้น คือ การไปมาหาสู่กัน

การรอคอยช่วงเวลาที่จะได้ข่าวจากคนที่รัก มันทำให้คุณค่าเพิ่มมากขึ้น

มันยากลำบากเหลือเกินกว่าจะรักกัน

และนั่นอาจเป็นสาเหตุที่เค้าเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ครั้งๆหนึ่งๆมากกว่าคนอย่างเราในยุคปัจจุบันนี้

เราอาจหลงลืมการรอคอย จนทำให้คุณค่าของมันลดทอนไปอย่างน่าเสียดาย

เมื่อสิ่งนั้นยังไม่มา จงอดทนรอคอยเถิด เมื่อคุณได้มันมา แล้วคุณจะได้รู้ว่ามันมีค่ามากสักเท่าไร

“เช่น‍นั้น​แหละ เมื่อ​อับ‌รา‌ฮัม​ได้​อดทน​คอย​แล้ว ท่าน​ก็​ได้​รับ​สิ่ง​ที่​ทรง​สัญญา​ไว้​นั้น” – ฮีบรู 6:15

Wall in my heart

เด็กน้อยเอ๋ย…

เมื่อวันหนึ่งที่เธอเริ่มโตขึ้นมา ประสบการณ์ชีวิตจะสอนให้เธอรู้จักกับกำแพง

เหมือนที่ประสบการณ์ได้สอนฉัน

กำแพงที่ฉันสร้าง

ไม่ได้ประกอบด้วยหนามอันตราย

หรือ

คมแก้วแหลมที่พร้อมจะสร้างบาดแผลให้กับคนที่หวังจะปีนเข้ามา

กำแพงที่ฉันสร้าง

เป็นกำแพงธรรมดา เพียงแต่ว่าสูงใหญ่

และปกคลุมตัวฉันให้รู้สึกมั่นใจ เมื่ออยู่หลังกำแพงหลังนั้น

ผู้คนที่ต้องการเข้ามา เพียงแค่ต้องใช้เวลาสักหน่อย

ในการค่อยๆปีนเข้ามาทีละนิด ทีละน้อย

จนสุดท้ายก็ได้มารู้จักกับฉัน หลังกำแพงสูงใหญ่นั้น

และเมื่อเธอได้เข้ามารู้จักฉัน

เธอก็ได้อภิสิทธิ์ในดวงใจฉัน

เธอได้รับความไว้วางใจ และความรักของฉันไปแล้ว

แต่เธอที่่รักจ๋า

เธอรู้ไหม เมื่อฉันได้มอบสิทธิ์นั้นไปแล้ว

ฉันไม่เคยเรียกร้องที่จะขอมันคืนกลับมา

เว้นเพียงแต่ว่า เธอจะไม่เห็นความสำคัญของสิ่งนั้นแล้ว

เธอวางสิทธิ์ของเธอไว้ตรงนั้น

และเธอก็เดินออกไปจากกำแพงนั้นอย่างเงียบๆ

เธอที่รักจ๋า,

การเดินจากไปของเธอนั้น เธอใช้เวลาเพียงไม่นาน

มันแสนง่ายเหลือเกิน เมื่อเทียบกับตอนที่เธอพยายามจะปีนกำแพงเข้ามา

เธอที่รักจ๋า,

แล้วเธอก็ลืมช่วงเวลาที่เรากำลังเดินข้ามผ่านกำแพงนั้นด้วยกัน

วันที่เธอก็ไต่ขึ้นมา และฉันก็ไต่ขึ้นไป

เธอที่รักจ๋า,

เธอรู้มั้ย สิทธิ์นั้นก็ยังเป็นของเธอ ฉันได้แต่นั่งมองเงียบๆ และหวังในใจเล็กๆเบาๆ

หวังเพียงแต่เธอจะเดินกลับเข้ามา ฉันยังหวังให้เธอเปลี่ยนใจ

และเมื่อนั้นหลังกำแพงนั้นฉันจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป…

นักฉวยโอกาส |

แปลกไหม? ถ้าวันนี้เราอยากบอกว่า หลายครั้ง ที่การเป็นคริสเตียน มันทำให้เรากลายเป็น “นักฉวยโอกาส”

แต่คำว่า ฉวยโอกาส ในภาษาไทย มันเป็นได้ทั้งทางบวก และทางลบ…

สำหรับเราแล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่ส่วนมาก เราได้ใช้มันในทางดี

 

เราอาจจะกำลังคิดไปเองคนเดียว แต่มันก็เกิดในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้

“พี่หยี ทำไมเป็นคนมองเรื่องเซ็งๆ ให้เป็นเรื่องตลกได้”

“แกก็แปลกนะ มองวิกฤตให้เป็นโอกาส”

เป็นคำพูดของพี่น้องคริสเตียน 2 คน ที่พูดกับหยี ขอบคุณพระเจ้า โดยพระคุณพระเจ้าทำให้เราได้มองโลกเปลี่ยนไป

 

เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดประโยคแรก คือ ร้านอาหารที่อยากกินปิด… ทั้งๆที่อยากกินมาหลายวัน

เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดประโยคสอง คือ การที่ลูกหยีมองรูปตัวเอง แล้วบอกเพื่อนว่า สิวเราขึ้นที่แก้ม แต่ดีจัง พอถ่ายรูปมาเหมือนเรามีลักยิ้มเลย….

 

เราคิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะเป็นวิกฤต หรือ ปัญหา ทั้งหมด ทั้งมวล ทุกเหตุการณ์ ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตนั้นล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าอนุญาต และวางแผนมาเป็นอย่างดีที่สุดสำหรับเราแล้วให้มันเกิดขึ้น

พระเจ้ามีวิธีการสอนคนแต่ละคน ผ่านวิธีการสอน และอุปกรณ์การสอนหลากหลายอย่าง นับชิ้นไม่ถ้วนบนโลกใบนี้

พระคัมภีร์ เพื่อน พี่น้อง ครอบครัว ที่ทำงาน ทั้งที่เป็นคริสเตียน และไม่ใช่คริสเตียน

ความสุข ความทุกข์ ความฝัน ปัญหา ความเจ็บปวด ชีวิตคนอื่น ชีวิตคนใกล้ตัว หนังสือต่างๆ การแบ่งปัน เทศนา หรือ สามัคคีธรรม

แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะฉวยโอกาสนับพระพรได้มากกว่ากัน ใครจะมองโอกาสท่ามกลางสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้นได้มากกว่ากัน

ถ้าเรารู้จักฉวยโอกาส เรียนรู้ผ่านสิ่งที่พระเจ้านำมาสอน และคอยนับพระพรในชีวิตมากมายที่เกิดขึ้น

เราจะได้รู้จักพระเจ้าของเรา และรู้ว่าพระราชกิจของพระองค์ที่มีต่อชีวิตเรามันยิ่งใหญ่แค่ไหน…

 

ขอบคุณพระเจ้าที่เปลี่ยนเราให้เป็นนักฉวยโอกาสที่รู้จักจะเรียนรู้จากพระองค์ ในเวลา และทุกเหตุการณ์ที่เหมาะสม 🙂

 

 

“จงดำเนินชีวิตกับคนภายนอกด้วยใช้สติปัญญา จงฉวยโอกาส” โคโลสี 4:5

FACE THE TRUTH

ขอตามกระแสนิดหน่อย กับ HormonesTheSeries

บอกเลยว่ารู้จักกับพี่ปิง ผกก Hormones ดังนั้นแน่นอนค่ะ อาจจะมี Bias 🙂
ยอมรับโดยดุษฎี….

สำหรับ Hormones ภาคนี้ เราไม่ได้สนใจนะ ว่าจะมาจากไหน แต่เอาเป็นว่าสำหรับเราแล้ว เราเห็น Message บางอย่างที่ซ่อนอยู่ในทุก Ep.
เราเห็นความเป็นหนังในซีรีย์เรื่องนึง การใช้ สัญญะ บางอย่างที่เรามักเห็นในหนัง ไม่ค่อยได้เห็นในละครไทย นี่อาจเป็นเพราะพี่ปิงอาจเริ่มมาจากสายภาพยนตร์ (ก็เป็นได้) อันนี้ไม่รู้ ยังไม่เคยไปคุยกับพี่เค้าขนาดนั้น

เห็นบางคนบอกว่า ep. วิน นี้ไม่มีอะไร น่าเบื่อ เรื่อยๆ
ในแง่คนดูหนังแล้ว เนื้อเรื่องของ ep. นี้ อาจไม่มีอะไร แต่เป็น ep. ที่แสดงให้เห็นว่าวินเปลี่ยนไปอย่างไรมากกว่า

สำหรับตอนนี้เราประทับใจกับการเปรียบเทียบเรื่องยาเสพติด กับการยืมความสุขมาก เป็น Dialogue ที่ดี
แอบหลงรักน้องเหนิง โดยไม่รู้ตัว แม้จะเสียงนางจะตะแง้วไปหน่อย 🙂
ประเด็นเรื่องเด็กสมัยนี้กับยาเสพติด เป็นเรื่องทั่วๆไป ที่พบเจอได้ในละคร และหนังส่วนใหญ่

แต่ลึกลงไปแล้ว เราประทับใจกับประเด็นที่วิน Deal กับปัญหามากกว่า
“เรื่องของการเผชิญหน้ากับปัญหา”

10593218_700329956710015_5547390426164483873_n

สิ่งที่วิน ผู้โด่งดัง ผู้ทำตัวกบฎ เป็นเซเล็บออนไลน์ และพยายามแตกต่างทำมาตลอดเวลา คือ การเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น และก่อปัญหาต่างๆขึ้นมาตลอดเวลาที่เห็นใน Season แรก
และพยายามควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างให้ได้

แต่เมื่อวินได้เจอกับปัญหาที่ลุกลามใหญ่ จากความสนุกส่วนตัว จนเป็นปัญหาไปถึงของขวัญแล้ว วินเริ่มได้รู้ความจริงว่า ตัวเค้าไม่ได้สามารถควบคุมทุกอย่างได้
ปัญหามันใหญ่ และไปไกลเกินกว่าที่เค้าคิด สิ่งที่เค้าทำ ก็คือ
การหนีปัญหา และการไม่เผชิญหน้าความจริง

วินหนีจากของขวัญ หนีจากกระแสสังคม(ออนไลน์)ที่หาว่าเค้าขึ้นครู
ปิดล็อกความทรงจำอันนี้ และไปอยู่ในที่ๆคนไม่รู้จัก
แต่โลกออนไลน์ก็ทำให้ทุกอย่างมันง่ายอยู่ใกล้กันแค่ปลายนิ้ว
เหนิงรู้จักวิน…. ผ่านโลกออนไลน์… และทำให้วินโดยตะกุยแผลเก่าขึ้นมาอีกครั้ง…

 

เราเชื่อว่าทุกคนต้องมี Struggle บางอย่างในชีวิตที่ไม่อยากให้ใครรู้
เก็บใส่หีบฝังมันไว้ แล้วซ่อนมันไว้ให้ลึกที่สุด เอาทุกอย่างกลบมันไว้ ทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ คราบน้ำตา ความโกรธเกรี้ยว หงุดหงิด โมโห คือทำอะไรก็ได้ ให้คนไม่ต้องไปตะกุยมันขึ้นมาจากที่ๆเราไปเก็บไว้
เหมือนที่วินเอา Smartphone ใส่ลิ้นชักแล้วล็อกกุญแจ
ใช้ชีวิตไปวันๆ โดยคิดเสมือนว่าไม่เคยมีสิ่งๆนั้น
แต่ความจริงแล้ว มันไม่เคยหายไปไหน… มันก็ยังอยู่ตรงนั้น

สุดท้าย วินก็ไม่สามารถหนีได้ วินก็คือวิน
วินหนีไปไหนก็ได้ ต่อให้วินพยายามมีความสุขมากสักแค่ไหน พยายามใช้ทุกอย่างเพื่อจะทำให้ชีวิตมีความสุข และลืมสิ่งที่ตัวเองทำ
แต่แน่นอนเมื่อสิ่งที่วินทำไปแล้ว มันก็คือทำไปแล้ว วินไม่สามารถหนีจากความจริงนี้ไปได้ เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว และผลของมันก็ยังคงอยู่

เมื่อคุณตัดสินใจทำสิ่งหนึ่งสิ่งไปแล้ว แน่นอน ว่าจะมี Consequence ของมันอยู่

สิ่งที่คุณต้องทำคือรับผิดชอบกับสิ่งๆนั้น ไม่ว่าจะเป็นทางบวก หรือ ทางลบ
ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำ ผลลัพธ์ต่างๆ มันจะติดตัวคุณไปทุกที่ทุกแห่ง

สุดท้ายแล้ว วิน ก็ยังต้องเผชิญหน้ากับความจริง วินต้องทิ้งอีโก้ทุกอย่าง และยอมรับความจริง ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น และเผชิญหน้ากับปัญหา
ต่อให้วินจะหนีไปเท่าไหร่ ก็ไม่มีทางที่วินจะลบทุกอย่างได้

การเผชิญหน้า และการขอโทษ ไม่ได้หมายความว่าเรื่องทุกอย่างจะถูกลบและกลับไปเริ่มต้นใหม่ แต่มันเป็นการก้าวข้ามทุกอย่าง และเดินต่อไปข้างหน้าต่างหาก

 

ลย อาจคิดเยอะไป แต่นี่คือสิ่งที่ลยดูแล้ว ลยว่ามันได้อะไร ภายใต้ความไม่มีอะไรนะ 🙂

2014-08-26_16-41-08

 

งานศิลปะที่งดงามที่สุด | Best Live Performing Art Piece

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปเยี่ยมงานของอ.คามิน ที่ 31st Century Museum of contemporary ที่ซอยวัดอุโมงค์

2014-08-09 15.36.38

ประทับใจงานที่จัดแสดงหลักๆเลย 2 ชิ้น คือชิ้นที่เป็น Clipping Art ของ Carl Michael กับชิ้นนึงทีเป็นงานของอ.ฤกษ์ฤทธิ์

สำหรับชิ้น Clipping Art เป็นงาน Art เชิง Conceptual นิดหน่อย ที่อาจดูไม่มีอะไรนอกจากเป็น Clipping News นึงจากหนังสือพิมพ์เก่าๆ งานชิ้นนี้ Michael ตั้งชื่อให้มันว่า “The Performing of Olga Erikson”

2014-08-09 16.09.44
Performing of Olga Erikson by Carl Michael

เรื่องราวใน Clipping นั้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหญิงสาวผู้นึงที่พาลูกวัยสองขวบไปเก็บลูกเบอรี่ในป่า ใกล้ๆทางรถไฟ

ในขณะที่กำลังเก็บลูกเบอรี่เพลินๆนั้น ก็ได้ยินเสียงรถไฟมา เมื่อเธอหันไปเธอก็พบว่าลูกสาวของเธอได้คลนไปนั่งเล่นอยู่บนรางรถไฟ โดยไม่รู้ถึงอันตรายที่กำลังวิ่งใกล้เข้ามา

ด้วยสัญชาตญานความเป็นแม่ เธอได้วิ่งเข้าไปเพื่อจะช่วยลูกสาวของเธอ แต่ ณ ขณะนั้น เธอไม่สามารถดึงลูกสาวของเธอออกจากรางได้ทัน สิ่งที่เธอทำ คือ เธอกระโดดลงไปเพื่อกดทับร่างของลูกสาวเธอให้ต่ำที่สุด

ขอบคุณพระเจ้า เมื่อรถไฟได้ผ่านไป สองแม่ลูกรอดชีวิต แต่คนเป็นแม่ ได้มีแผลสาหัส โดยรถไฟได้เปิดผิวหนังบนหลังของเธอ ยาวไปถึงกะโหลกศีรษะ..

เราได้ยินแล้ว เราไม่น่าเชื่อ แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อกว่านั้น คือ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1927 และเด็กผู้หญิงคนนั้น คือ แม่ของ Michael ส่วนหญิงสาวผู้นั้นคือ ยายของเขานั่นเอง

จากเหตุการณ์นั้น Michael เชื่อว่า การใช้ชีวิตคือการสำแดงศิลปะอย่างหนึ่ง ซึ่งคุณสมบัติของศิลปะนั้นก็สามารถแสดงออกได้ถึงสภาวะภายในจิตใจของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี

เหตุการณ์ครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นสัญชาตญานของความรัก และความเสียสละที่ Olga ได้ Perform ออกมา ซึ่งการ Perform นั้น ได้เข้าไปสัมผัส และตราตรึงในจิตวิญญาณของตัวลูกสาว และหลานสาวของเค้า จากรุ่นนึงส่งต่อสู่อีกรุ่นหนึ่ง และจะถูกส่งต่อไปยังรุ่นต่อๆไป ภาพที่น่าประทับใจคือ ผู้นำชมได้เล่าว่า Michael ได้พาลูกชายของเค้ามายืนดูงานชิ้นนี้ และเล่าเรื่องนี้ให้ลูกเค้าฟัง เป็น Performing ที่ถูกส่งต่อไปยังอีก Generation หนึ่ง

งานชิ้นที่ 2 เป็น Performing เหมือนกัน ของอ.ฤกษ์ฤทธิ์ งานนี้ชื่อว่า Shall we dance

Shall we dance ภาพจาก http://31century.org/shall-we-dance/

เป็นงานที่อ. Perform ที่ New York เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ในขณะที่โรค AIDS กำลังเป็นที่รังเกียจ ความรู้ ความเข้าใจและการป้องกันโรคนี้ในเวลานั้น ค่อนข้างต่ำ แต่งานนี้ศิลปินกลับเปิดเพลง Shall we dance จากภาพยนตร์เรื่อง The King And I เป็นเพลงที่แหม่มแอนนาได้เชิญให้ร.4 ลงมาเต้นรำด้วย โดยศิลปินได้เปิดเพลงนี้ พร้อมกับเชิญชวนให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาลงมาเต้นกับเค้าด้วย…

ถามว่า ทำไมต้องเชิญให้คนแปลกหน้ามาเต้นกับเขา? ในขณะที่เวลานั้น การเชื้อเชิญให้คนแปลกหน้ามาสัมผัสตัว และมาเต้นรำร่วมกัน เป็นเรื่องน่าแปลกใจ แต่นั่นก็เป็นการแสดงออกถึงความรัก และการเคารพในความเป็นมนุษย์ และคุณค่าของแต่ละบุคคลได้เป็นอย่างดี

นอกจากนั้นการเลือกเพลงนี้มาเป็นสื่อกลางในแสดง ก็ยังเป็นเหมือนการสื่อถึงการทลายกำแพงระหว่างชนชั้น และสถานะต่างๆอีกด้วย

การเต้นรำ… ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันเท่านั้น แต่การเต้นรำเป็นเหมือนการที่คนสองคนได้ใช้จังหวะร่วมกัน เพื่อจะทำให้การเต้นรำนี่เป็นไปได้ด้วยดี ต่างคนต่างไว้ใจกันและกัน ใช้เวลาร่วมกัน ในจังหวะการเดินไปอย่างพร้อมๆกัน

การเต้นรำเป็นการปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน ถ้าหากเรามัวแต่จดจ่ออยู่กับจังหวะของตัวเอง ไม่ได้สนใจคู่ของเรา เราก็มีสิทธิ์ที่จะเหยียบขาเค้าได้ง่ายๆ เหมือนกับการใช้ชีวิตเช่นกัน ที่หากเรามัวแต่จดจ่ออยู่กับตัวเอง เราก็อาจจะเผลอเหยียบคนอื่นไปได้โดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน ทั้งๆที่เราก็พยายามจะระวังขาของเราไม่ให้ไปก้าวผิดจังหวะ หรือไปเหยียบใคร แต่การจดจ่อแค่เพียงตัวเอง ก็อาจส่งผลกระทบคนอื่นได้ไม่รู่ตัว

2014-08-10 14.06.30

2014-08-10 16.15.38

 

ส่วนวันนี้ (วันอาทิตย์) เราได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมคจ.พันธกิจเ
ชียงใหม่อีกครั้งนึงเหมือนกัน ทุกครั้งที่ได้ไปเยี่ยมเยียนที่คริสตจักรแห่งนี้ เราได้เห็นถึงความมุ่งมั่น และพลังบางอย่างที่เปี่ยมล้นอยู่ในคริสตจักรเสมอ

ในขณะที่ Olga ได้ Perform ความรักและความเสียสละของเธอ ส่งต่อให้ Generation ต่อๆไป
คริสตจักรแห่งนี้ได้สร้างสาวกที่ Perform ความรักและความเสียสละ ตามแบบอย่างของพระเยซู  Performer เอกของเรา ได้อย่างมากมาย และผู้คนเหล่านั้น ก็ได้ Perform ได้อย่างสมบูรณ์ และการ Perform ของเค้านั้นก็มีพลังที่ส่งผลกับเราอย่างประหลาด และลึกลงไปในจิตวิญญาณ การได้รู้จักเพื่อนๆในคริสตจักรแห่งนี้ ทำให้ตัวเราเองเกิดความคิด และอยากจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเป็นอีก 1 performer ที่ดีที่จะ perform ภาพของพระเยซู ผู้เป็นแบบอย่างของความรักและความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่สุด… หยียังเห็นการส่งต่อ Passion นี้จาก Generation to Generation เราเห็นความมุ่งมั่นของคนกลุ่มนึง ที่ได้ส่งต่อ และปลูกลงไปจิตวิญญาณของคนรุ่นต่อๆไป

2014-08-10 14.58.56-22014-08-10 16.16.14

คริสตจักรแห่งนี้ได้เชื้อเชิญให้หยี ที่เป็นแขกที่ไปเยี่ยมเยียนเข้าร่วมจังหวะไปด้วยกันแบบไม่รู้ตัว โดยไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าหยี หรือ เพื่อนหยีเป็นใคร แต่การเชื้อเชิญให้เราได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการเต้นของคริสตจักรนี้ก็เกิดผลกระทบกับชีวิตหยี ทำให้หยีเติบโต และได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในการแวะไปเยี่ยมเยือนแค่ไม่กี่ครั้ง สอนหยีให้เรียนรู้ในการร่วมจังหวะกับผู้อื่น และการเต้นไปพร้อมๆกัน… ชีวิตคริสเตียนเราไม่ได้แสดงเดี่ยวอยู่บนฟลอร์ การแสดงที่งดงามและมีพลังจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรามีจังหวะย่างก้าวที่เหมาะสมและเดินไปพร้อมๆกัน ซึ่งจะเพิ่มพลังและความสวยงาม ส่งผลให้เกิดความประทับใจกับผู้ที่ได้พบเห็นอย่างน่าอัศจรรย์ คริสตจักรนี้ได้ perform การแสดงชุด shall we dance ในชีวิตคนมากมายได้อย่างงดงามที่สุด เท่าที่หยีเคยเห็นมา

ขอบคุณอาร์ค เอมี่ น้องโอ๊ค แม่ไก่ และอ.หมอมากๆ ในการส่งต่อ Vision ในการสร้างสาวกของคริสตจักรและสร้างแบบอย่างที่ดีออกมาให้เราได้รู้จัก และส่งผลกระทบต่อน้องๆมากมาย
ขอบคุณพี่ๆน้องๆท่านอื่นในคริสตจักรทุกท่าน โตโต้ ไมเคิล แอ็ค เล็ก ข้าวฟ่าง น้ำฝน น้องเกรซ น้องแจน จูลี่ แต๊ก ตั๊ก ฮอต เชอรี่ น้องขวัญ น้องแคลร์ พี่โด เชอรี่ จอช และคนอื่นๆที่อาจจะยังไม่ได้มีโอกาสทำความรู้จัก แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ได้ให้โอกาสเราที่จะได้เจอและทำความรู้จักทุกคน และในโอกาสต่อๆไปที่จะรู้จักกันมากขึ้นอีก 🙂
ขอบคุณพระเจ้าที่ได้รับเพื่อนใหม่ และคริสตจักรแห่งนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในจังหวะชีวิตของเราที่กำลัง Perform อยู่ในโลกนี้ และหวังใจเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะได้มีโอกาสร่วมจังหวะกับทุกคนในครั้งต่อๆไป

ขอพระเจ้าอวยพรทุกคน และเสริมกำลังในการ Perform ในโลกนี้ต่อไปค่ะ ^^

2014-08-10 16.00.3310600489_10152663830148594_8951201805001011416_n

Begin Again : เพราะรัก คือ เพลงรัก [Movie Review]

เมื่อ 3 อาทิตย์ที่แล้วมีโอกาสได้ไปดู Begin Again ไปดูกับเพื่อนสาว หลังจากส่งเพื่อนอีกสองคนกับคุณแม่กลับบ้านไป

อารมณ์ว่าอยากดูกันอยู่แล้ว และเมื่อเช็ครอบแล้ว เรียกได้ว่าประจวบเวลาเหมาะ จึงเข้าไปดูกัน 2 คน แบบหนังเริ่มไปแล้วด้วยซ้ำสัก 5 นาที

Begin Again เป็นหนังรักวัยรุ่น มีเพลงประกอบหนังที่เรียกว่าดีมากกกกก (ไปซื้อ OST มาแล้วเรียบร้อย) เดินสูตรตามหนังรักทั่วๆไป แต่พลิกล็อกเล็กน้อย ตอนสุดท้าย ออกมาจากโรงแล้วก็ฟินตามประสาหนังฟีลกู๊ดทั่วไป

Begin Again: เพราะรัก คือ เพลงรัก

หนังเรื่องนี้ สิ่งที่เราได้ คือ เรื่องของ “การเริ่มต้นใหม่” ของความสัมพันธ์ทั้งหมด 4 รูปแบบ จากตัวละครหลักๆ 6-7 ตัว และ “ความเชื่อมั่น ความหวัง” ในตัวของมนุษย์ที่เห็นเป็นภาพได้อย่างชัดเจน

ขอโทษที่ความจำเรื่องชื่อตัวละครแย่ขั้นสุด พร้อมทั้งเพิ่งมารีวิวหลังจากดูไปแล้วประมาณ 3 อาทิตย์ ผิดพลาดตรงไหนขออภัย เขียนแบบงงๆ พยายามสื่อ Message แล้วเต็มที่…

==== ไม่น่าจะต้องเตือนว่าสปอยล์ เพราะตอนนี้หนังน่าจะออกโรงไปหมดแล้ว ====

แต่ตามมารยาท… สปอยล์สุดๆ เล่าเนื้อเรื่องได้ เล่าไปแล้วจ้า

รูปแบบที่ 1: ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก

ที่ยกมาก่อน ไม่ใช่อะไร เพราะความสัมพันธ์ของคู่นี้ไม่ซับซ้อน หนังปูเรื่องให้ Dan ดูเป็น Loser ที่ไม่เข้าใจ Violet ลูกสาวคนเดียวของเขาที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในช่วงแรก ผู้กำกับได้พาเราเข้าไปให้เราเชื่อ และตัดสิน Dan จากสิ่งที่ Dan ทำ ไม่ว่าจะเป็นการโวยวายในที่ทำงาน การกินแล้วหนี(พาลูกสาววิ่งซะงั้น) ทำให้เราเชื่อว่า Dan เป็น Loser ตัวจริง ที่ทำอะไรไม่สำเร็จ ตกงาน เป็นผู้นำครอบครัวที่แตกแยก ล้มเหลวทุกอย่างไม่เป็นท่า ผู้กำกับ Discredit Dan ได้อย่างเต็มที่ และตัว Violet เองก็ไม่ได้เชื่อมั่นในตัวพ่อของเธอ เพราะสิ่งต่างๆที่เธอได้เห็นและเขากระทำกับเธอ เห็นได้จากการที่เขาพยายามเตือนลูกสาวของเขาในการแต่งตัว

แต่เมื่อความจริงเปิดเผยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Dan มันไม่ใช่ที่ตัว Dan เท่านั้น หากแต่เป็นภรรยาของเขาต่างหากที่ทำให้เขาต้องระเห็จออกจากบ้านไป หนังเฉลยปมมาแบบซื่อๆ โดยที่ไม่ได้ปูเรื่องอะไรมาก่อน ตรงนี้ทำให้ผู้ชมอย่างเราคาดไม่ถึงไปเหมือนกัน วูบแรกของเราคือ… เอากันงี้เลยนะ….? เรียกว่าหักหน้าผู้ชมกันไปแบบง่ายๆ 1 ครั้ง

แต่ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปจากไหน? เมื่อ Gretta ก้าวเข้ามาในชีวิตของ Dan Gretta เชื่อมั่นในตัว Dan (ในบางอย่าง อะไรก็ไม่รู้) และ Dan ก็เริ่มมีสติมากขึ้น นอกจาก Gretta จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับ Dan แล้ว ยังสร้างควาเชื่อมั่นให้ Violet ด้วย Violet เชื่อสิ่งที่ Gretta พูด แม้แต่สิ่งที่พ่อและแม่ของ Violet พยายามขอให้เปลี่ยนมาตลอด นั่นก็คือการแต่งตัว….

นอกจากนั้น Gretta ยังเชื่อมั่นในตัวของ Violet มากกว่าครอบครัวของเธอ นางเป็นคนที่เปิดโอกาสให้ Violet เข้ามาทำความรู้จักกับงานของ Danมากขึ้น โดยเธอบอกให้ Dan ชวน Violet เข้ามาอัดเพลงพร้อมเธอ ในขณะที่ Dan ยังไม่เชื่อในฝีมือของลูกสาวตัวเองด้วยซ้ำ แต่ Gretta ก็คะยั้นคะยอ จน Dan ยอมและขอให้ Miriam ภรรยาของเขาพา Violet ไปอัดเสียงในครั้งนี้…

เมื่อทั้งสองพ่อลูกได้รับมนต์วิเศษที่เรียกความมั่นใจให้กันและกันจาก Gretta แล้ว ต่างเรียนรู้ในตัวกันและกันมากขึ้นและต่างเชื่อในสิ่งที่ดีในตัวของทั้งคู่ ในที่สุดความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็กลับมาประสานต่อกัน และเริ่มต้นใหม่กันได้ผ่านทางดนตรีอีกครั้งหนึ่ง….

รูปแบบที่ 2: ความสัมพันธ์ของเพื่อน / เพื่อนร่วมงาน

รูปแบบนี้ขอรวม เพื่อน และเพื่อนร่วมงานไว้ด้วยกัน

Steve&Gretta : คู่เพื่อนรักต่างเพศ (ที่เคยเป็นคี่ เมื่อตอนที่ Dave อยู่) เรื่องราวของ Steve และ Gretta เป็นเพื่อนที่คบกันมานาน แต่ก็แยกจากกันไป จนสุดท้ายได้มาเจอกันที่นิวยอร์กอีกครั้ง เมื่อ Gretta ตาม Dave ผู้ที่เป็นทั้งเพื่อน ทั้งคู่รัก และ Partner ในการทำงาน

ในขณะที่ทั้ง Steve และ Gretta  ไม่ได้เจอกันมานาน แต่เมื่อเจอกันแล้ว ทั้งสองยังคงหัวเราะ และเล่าเรื่องต่างๆแลกเปลี่ยนกันได้อย่างปกติ และพร้อมหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ และเข้าใจกันและกันอย่างเต็มที่ นี่ก็เป็นเพราะความเชื่อมั่นในตัวของกันและกัน และมิตรภาพสุดแสนจริงใจที่หยิบยื่นให้แก่กัน

เมื่อเปรียบเทียบกลับไปยังคู่ของ Gretta และ Dave ในฐานะเพื่อนร่วมงาน เราจะเห็นได้ว่า การที่ Gretta ยอมถอยตัวเองลงมา และยกให้ Dave สูงขึ้น ไม่ได้ทำให้ความเข้าใจ หรือ ความรักมากขึ้นเลย ในขณะที่ Dave ติดลมบนมีชื่อเสียงโด่งดัง Dave กลับไม่ได้เข้าใจและสนใจ Gretta ที่เขาเรียกว่าเป็น Partner เลยด้วยซ้ำ

เช่นเดียวกับคู่ของ Dan และ Saul (จำชื่อไม่ได้ ถ้าผิดขออภัย) Partner ทางธุรกิจที่สร้างบริษัทเพลงมาด้วยกันมาตลอด จนบริษัทประสบความสำเร็จ แต่แล้วเมื่อความเชื่อมั่นในตัวของ Dan ก็เริ่มสั่นคลอน Dan ไม่สามารถสรรหาศิลปินมาปั้นได้เป็นระยะใหญ่ๆ ซึ่ง Saul ก็คิดว่า Dan ไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานมากพอ รวมถึงพฤติกรรมที่ก้าวร้าวต่อผู้ถือหุ้นต่างๆ ซึ่งเป็นเหมือนตัวสะบั้นความเชื่อมั่นเส้นสุดท้ายออก ทำให้ Dan ต้องเดินออกจากบริษัท โดยที่ไม่ได้ถืออะไรออกมาเลย….

แต่เมื่อ Dan ได้พบกับ Gretta ที่บังเอิญเจอแบบมึนๆ เมาๆ และได้ทำการทาบทามให้มาเป็นศิลปิน เมื่อ Gretta ได้เลือกที่จะเชื่อมั่นในตัว Dan ถึงแม้ว่าจะไม่มีเงินทุนเพื่อสนับสนุนทำ Demo แต่ด้วยความเชื่อใจทั้งสองคนก็ได้ร่วมผลิตผลงานชิ้นเอกออกมาได้อย่างมากมาย ตามที่เราเห็นในหนัง ซึ่งทั้งสองคนก็ได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งกับงานที่ตัวเองรัก

รูปแบบที่ 3: ความสัมพันธ์ของคู่สามี-ภรรยา

Dan & Miriam เราจะเห็นได้ตั้งแต่ต้นว่า ความสัมพันธ์ของ Dan&Miriam ได้หยุดลงตั้งแต่เริ่มเรื่อง จนเรามารู้กลางๆเรื่องว่า Miriam เป็นคนตัดสินใจจะทิ้ง Dan ไป เพราะเจอคนใหม่ (ถึงแม้สุดท้าย Miriam ก็ไม่ได้ไป เพราะคนใหม่ก็ทิ้งเธอไป)

ความเชื่อใจระหว่างสามี-ภรรยาได้ยุติลง แต่ความรักไม่ได้หมดลงไปด้วย? แต่จะทำอย่างไร ในเมื่อชีวิตคู่จะต้องใช้ทั้งสองอย่างเพื่อสานต่อความสัมพันธ์นี้ไว้ Dan เลือกที่จะเดินออกมาจากชีวิตครอบครัวของเขา เพราะเขาทนไม่ได้ที่จะต้องทนเห็นหน้าภรรยาที่เขารักทำลายความไว้วางใจด้วยมือของเธอเอง จุดนี้(อาจ)เป็นจุดที่ทำให้ Dan เสียศูนย์ในทุกๆอย่าง ตั้งแต่เรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว ไปจนถึงเรื่องงาน

จนเมื่อเขาได้เจอ Gretta และเรียนรู้หลายๆอย่างจาก Gretta ความหวัง ความเชื่อใจที่ Gretta มีเป็นเหมือนน้ำชุ่มชื้นให้ชีวิตที่เหี่ยวแห้งของเขากลับมามีชีวิตได้อีกครั้งหนึ่ง และมีความหวัง จนสุดท้ายเราจะเห็น Dan และ Miriam กลับไปเริ่มความสัมพันธ์กันใหม่ โดยเริ่มจากจุดที่พวกเขาเคยรัก และเชื่อใจกัน นั่นก็คือ สายแจ็คคู่….

วันนี้ คุณกล้าให้คนที่คุณชอบฟังเพลงในเครื่องคุณไหม? คุณพร้อมจะเชื่อใจกันและกันไหม?

คู่ที่ 4: ความสัมพันธ์ของคนรัก

ความสัมพันธ์แบบคู่รักของ Dave & Gretta จะเป็นคู่เดียวที่เราได้เห็นพัฒนาการมากที่สุด ผ่านสายตาของ Gretta และผ่านบทสนทนาของ Steve เราจะเห็นตั้งแต่วันที่คู่รักคู่หูคู่นี้ยังเล่นกีตาร์ ร้องเพลง Lost Stars ในห้องเล็กๆ จนเริ่มมีชื่อเสียงย้ายเข้ามาห้องใหม่ที่นิวยอร์ก ช่วงเวลาเก็บเกี่ยวหวานชื่น ช่วงเวลาขมขื่น ช่วงเวลาแยกจาก ช่วงโกรธ ช่วงลังเล และช่วงตัดสินใจ

สำหรับเราแล้ว เรามองว่าความสัมพันธ์ของ Dave และ Gretta ค่อนข้างลึกซึ้งมากกว่าคู่อื่นๆ เพราะเป็นทั้งเพื่อน เพื่อนร่วมงาน และคู่รัก (เกือบเป็นคู่ชีวิต) Dave ต้องพึ่ง Gretta มาก ทั้งในเรื่องงานที่ Gretta จะต้องเป็นคนตัดสินใจหลายๆอย่าง รวมถึงเรื่องการเป็นหลักที่มั่นให้กับ Dave เพื่อให้เขาพักพิงในวันที่อ่อนล้า ดังนั้น Gretta จึงเชื่อมั่นในตัว Dave มาก เพราะคิดว่าเขาและเธอมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นต่อกัน

แต่เมื่อวันที่ Dave ตัดสินใจที่จะบอก Gretta ว่าเค้ามีคนอื่น ทำให้ความเชื่อมั่นของ Gretta ที่มีทลายลงไปกับตา เพราะในวันที่ Dave มีคนอื่นนอกจากเธอ Gretta ไม่มีใคร เมื่อความเชื่อมั่นถูกทำลาย ความรักก็สั่นคลอน Gretta เลือกที่จะเป็นคนเดินออกไปจากความสัมพันธ์นั้น

ต่อมาเมื่อผ่านเหตุการณ์ Like a fool Dave กลับมาหา Gretta อีกครั้ง และเปิดเพลง Lost Stars เวอร์ชันเพลง(ต้อง)ป๊อบให้ฟัง แต่สิ่งนี้เป็นเหมือนการบอกว่า ทั้งสองคนเดินกันอยู่บนคนละทางเดียวกันแล้ว

ในขณะที่ Gretta แต่งเพลงเพื่อคนสองคน เพื่อความสุขส่วนตัว แต่ Dave กลับต้องการทำเพลงเพื่อคนมากมาย เพราะเขาคิดว่า Music is sharing เพลงที่คนๆนึงแต่งเพื่อคนสองคน กำลังกลายเป็นเพลงที่คนที่ Gretta เคยทุ่มเทให้ทั้งหมดแปลงให้กลายเป็นเพลงที่แต่งคนอื่น ความเชื่อใจสุดท้ายของ Gretta ค่อยๆหมดลง

แต่เมื่อวันที่ Gretta ได้เข้าไปดู Concert ตามที่ Dave เชิญ Gretta ได้พบ “เพลงของเรา” ที่เดฟร้องในแบบของเรา ซึ่งทำให้ Gretta คิดว่า Dave เข้าใจเธอแล้ว และร้องเพลงนี้เพื่อเธอ และเพื่อเขา.. แต่เมื่อความจริงไม่ได้เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ Dave เป็นคนของประชาชนไปแล้ว สุดท้ายเค้าก็ต้องทำตามความฝันของเขา

Dave ไม่ได้เป็นของ Gretta อีกต่อไป การที่ Gretta เลือกเดินออกไปจาก Dave เพราะเธอรู้แล้วว่าต่อให้ทางเดินจะคล้ายกันแค่ไหน ต่อให้มีความทรงจำที่ดีมากมายแค่ไหน แต่ถ้าหากเป้าหมาย และวิธีการในการดำเนินชีวิตไม่เหมือนกัน ความรักก็คงเป็นไปไม่ได้… Dave เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งในฐานะ Rock Star ที่ประสบความสำเร็จ และขณะเดียวกันชีวิตของ Gretta ก็เริ่มต้นใหม่อีกครั้งในฐานะศิลปินคนนึงที่ไม่มี Dave อีกต่อไป และไม่ได้สนใจความสำเร็จ แต่ทำเพลงเพื่อสนองตัณหาตัวเองเท่านั้น (ตอนท้ายที่ตัดสินใจปล่อยเพลงลง iTune ซะงั้น)

สิ่งที่เราได้

  • Gretta เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของความหวังและเชื่อมั่นในตัวของบุคคล
  • Dan เป็นเหมือนผลลัพธ์ในการใช้เปรียบเทียบระหว่างการได้รับความเชื่อมั่น และการไม่เชื่อมั่น
  • แจ็คหูฟัง… เป็นเหมือนสัญลักษณ์ในการดำเนินชีวิต การเลือกจะร่วมทาง เราจะเห็นได้ว่า Gretta เลือกที่จะใช้แจ็คนี้กับ Dan เป็นเพื่อนร่วมงานที่มี Vision ตรงกันไปด้วยกัน เช่นเดียวกับ Dan เลือกใช้กับ Miriam เพื่อเลือกว่าจะกลับไปเป็นคู่กับเธอ แต่เราจะเห็นว่าทุกๆฉากที่ Dave และ Gretta ได้ฟังเพลงด้วยกัน กลับไม่ได้ใช้หูฟังดังด้วยกัน หรือ ฟังผ่านลำโพงที่คนสามารถฟังได้เยอะๆ ไม่มีเลยที่ทั้งสองคนจะมีโอกาสได้เลือกที่จะเดินไปด้วยกัน…
  • เมื่อคนเราได้รับความเชื่อมั่นจากใครสักคน ความเชื่อมั่นในตัวเค้า และความหวังที่เรามีในชีวิตเค้าจะเพิ่มความชุ่มชื้นในชีวิตของเขาได้ Dan เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ดีที่สุด
  • ชีวิตคนเราต้องการแค่สักคน เพียงคนเดียวก็อาจส่งผลกระทบให้กับชีวิตคนๆนึงได้อย่างมหาศาล
  • การเริ่มต้นใหม่… ไม่จำเป็นต้องเป็นการเริ่มต้นใหม่ในรูปแบบเดิมเสมอไป ชีวิตเราเริ่มต้นใหม่ได้หลายทางเสมอ…

สรุป เราชอบนะเรื่องนี้ ให้… สัก 8 ละกันนะ ><  หักไปเรื่องการปู  Background ความสัมพันธ์ตัวละครน้อยไปหน่อย 🙂 แต่ภาพรวมดูได้โอเคนะ ไม่แย่เลย โดยเฉพาะเพลงเพราะมากกกก ยิ่งกลับมาฟังละจะอินกว่าเดิมเยอะเลย